Friday, December 19, 2014

สมุนไพร ยาไทยที่ช่วยแก้ท้องอืด

พูดเรื่องยาแผนปัจจุบันกับอาหารเสริมมาก็มากแล้ว คราวนี้จะมาเล่าเรื่องสมุนไพรและยาแผนไทยสั้นๆ ง่ายๆ บ้างดีกว่า...

วันนี้ขอพูดถึงสมุนไพรและยาแผนไทยสำหรับบรรเทาอาการท้องอืด
สมุนไพรไทยที่ช่วยบรรเทาอาการท้องอืดแน่นท้อง เช่น กะเพรา โหระพา พริกไทย ขิง ข่า ขมิ้น เป็นต้น หากกลัวท้องอืดจากมื้อ อาหารลองทดลองดัดแปลงใส่สมุนไพรเหล่านี้เข้าไปในอาหารได้นะ แต่คนยุคนี้อาจจะสบายหน่อยเพราะในปัจจุบันมีสมุนไพรบดบรรจุแคปซูลจำหน่ายกันแล้ว เช่น ขมิ้นชันบรรจุแคปซูล

ส่วนยาตำรับไทยที่แก้ท้องอืด เช่น ยาประสะกะเพรา ที่ปัจจุบันมีจำหน่ายทั้งในแบบลูกกลอน หรือแคปซูล แต่อาจจะหาซื้อยากอยู่สักหน่อยนะ

อย่างไรก็ดีสมุนไพร ยาตำรับ ยาแผนปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งอาหารเสริมอาจจะตีกันได้หากใช้ร่วมกัน ดังนั้นแนะนำให้ปรึกษาเภสัชกรใกล้บ้าน หรือแพทย์ก่อนการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพทุกครั้งนะครับ

Monday, December 15, 2014

มารู้จักไข้เลือดออกกันเถอะ!!! ตอนที่3: อันตรายแต่ป้องกันได้

อย่างที่เล่าให้ฟังไปแล้วในตอนที่2 โรคไข้เลือดออกยังไม่มียาที่ฆ่าเชื้อไวรัสเดงกี่ได้ ดังนั้นการป้องกันไม่ให้เป็นโรคไข้เลือดออกจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด...

"ยุงลาย" เป็นพาหะสำคัญในการนำไวรัสเดงกี่มาสู่คนดังนั้น สิ่งสำคัญคือเราต้องกำจัดยุงลาย และระวังไม่ให้ยุงลายมากัด ทำได้ง่ายๆ ดังนี้...
1. ปิดภาชนะบรรจุน้ำในบ้านให้สนิท เช่น ปิดฝาโอ่ง ปิดฝาถังน้ำ
2. วางคว่ำภาชนะบรรจุน้ำที่ไม่ได้ใช้
3. กำจัดแหล่งน้ำขังในบริเวณบ้าน เช่น กวาดหรือเช็ดน้ำขังตามจุดต่างๆ ในบ้าน
4. เปลี่ยนน้ำในแจกันดอกไม้ทุกๆ 5-7 วันอย่างสม่ำเสมอ
5. ใส่เกลือลงในจานรองตู้กับข้าว โดยใช้เกลือ 2 ช้อนชา ต่อน้ำ 250 มล.
6. ปล่อยปลาที่กินลูกน้ำลงในอ่างบัวหรือตู้ปลา
7. ฉีดพ่นสารเคมีกำจัดยุง โดยเลือกฉีดพ่นในช่วงเวลาที่มีคนอยู่น้อยหรือไม่มีคนอยู่ และต้องมีการระบายอากาศหลังการฉีดพ่น
8. การนอนในมุ้ง
9. หากจำเป็นอาจใช้ครีมทากันยุงที่ปลอดภัยทาผิว มีข้อควรระวังคือหลีกเลี่ยงการทาในบริเวณที่บอบบาง เช่น บริเวณดวงตา

ข้อปฏิบัติตัวง่าย 9 ข้อที่พวกเราทำได้ทุกวัน ป้องกันโรคไข้เลือดออก ไม่ต้องเสี่ยงตาย... ขอให้ทุกคนปลอดภัย ปลอดโรคนะครับ

มารู้จักไข้เลือดออกกันเถอะ!!! ตอนที่2: สัญญาณอันตราย รีบไปพบคุณหมอ ด่วน!!!

อาการในเบื้องต้นของไข้เลือดออกนั้นใกล้เคียงกับไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่มากอาจทำให้แยกออกได้ยาก ดังนั้นหากมี 1 ในอาการต่อไปนี้เป็นสัญญาณว่าควรรีบไปพบแพทย์ด่วนที่สุด


1. มีไข้สูงเกินกว่า 39 องศาเซลเซียส
2. ไข้ไม่ลดลงเมื่อทานยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล
3. มีจุดเลือดออกไม่ทราบสาเหตุ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน จุดเลือดออกตามผิวหนัง จุดเลือดออกบริเวณตาขาว เป็นต้น
4. มีปัสสาวะลดลง
5. อาการซึม เหงื่อออก มือเท้าเย็น
6. ชีพจรเต้นแผ่วแต่เร็ว
7. ปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา
8. อาการช็อค

ในปัจจุบันไข้เลือดออกยังไม่มียาที่ใช้บำบัดโรคได้โดยตรง การรักษายังคงเป็นไปตามอาการ และมีความจำเป็นที่ต้องได้รับการรักษาอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ และการละเลยไม่ไปพบแพทย์เป็นความเสี่ยงที่จะทำให้เสียชีวิตจากไข้เลือดออกได้...

ยำอีกครั้งถ้าท่านมีอาการเพียงข้อใดข้อหนึ่งที่กล่าวไปแล้ว หรือสงสัยว่าตัวท่านเองเป็นไข้เลือดออกให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด...

To be continue (โปรดติดตามตอนต่อไป)

มารู้จักไข้เลือดออกกันเถอะ!!! ตอนที่1: ไข้เลือดออกเกิดจากอะไร?

โรคไข้เลือดออก อีกชื่อเรียกหนึ่งคือ ไข้เดงกี่ โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า ไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) 

เชื้อไวรัสเดงกี่ในประเทศไทยนั้นพบหลักๆ อยู่ 4 ชนิด หากคุณติดเชื้อไวรัสเดงกี่ชนิดใดแล้วร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานโรคมาต่อสู้กับโรคนั้นได้สำเร็จ คุณจะได้รับภูมิต้านทานไวรัสชนิดนั้นไปตลอดชนิด (ภูมิคุ้มกันฉลาดเนอะ :P) และคุณจะได้ของแถมเล็กๆ น้อยๆ มาด้วยนั่นก็คือ คุณจะมีภูมิคุ้นกันต่อเชื้อไวรัสเดงกี่ชนิดอื่นด้วยเป็นช่วงเวลาหนึ่ง (ประมาณ 6-12 เดือน) เมื่อพ้นช่วงโปรโมชั่นนี้ไปท่านก็จะมีโอกาสติดเชื้อไวรัสเดงกี่ชนิดอื่นๆ ได้อีกดังนั้นต้องระวังป้องกันให้ดี เนอะ...

To be continue (โปรดติดตามตอนต่อไป อิอิ)

เทคนิคการเช็ดตัวลดไข้อย่างง่าย

ช่วงปลายฝนต้นหนาวจะเป็นช่วงที่อากาศค่อนข้างเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้คนป่วยเป็นโรคไข้หวัดกันเยอะ วันนี้มีเทคนิคการลดไข้ด้วยการเช็ดตัวแบบง่ายๆ มาฝาก...

1. เพื่อไม่ให้มีอาการหนาวสั่นในช่วงที่เช็ดตัว ให้ใช้น้ำที่อุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิร่างกายและไม่เย็นจัดเกินไป แนะนำที่ 25-30 องศาเซลเซียส ถ้าจะจำง่ายๆ คือ เปิดน้ำประปาแล้วใช้ได้เลย...

2. เน้นเช็ดตัวที่จุดชีพจรสำคัญ เช่น รักแร้ ขาหนีบ หรือข้อพับต่างๆ

3. หลังจากเช็ดตัวเรียบร้อยให้หาผ้าแห้งที่สะอาดมาเช็ดตัวให้แห้ง แล้วแต่งกายให้อบอุ่น

4. อาจใช้ผ้าชุบน้ำอุณหภูมิห้องประคบที่บริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรือข้อพับ เพื่อช่วยระบายความร้อน และหมั่นเปลี่ยนผ้าชุบน้ำเพื่อให้การระบายความร้อนเกิดขึ้นได้ดี

ข้อควรระวังสำหรับการใช้ ยาแก้แพ้/ยาลดน้ำมูก ในผู้ที่มีเสมหะเหนียวข้น...

หลายๆ ท่านที่มีเสมหะเหนียวข้นพันคออาจต้องระวังการใช้ ยาแก้แพ้/ยาลดน้ำมูก บางชนิดกันสักหน่อย เพราะยาแก้แพ้/ยาลดน้ำมูกบางตัวอาจจะไปทำให้เสมหะยิ่งเหนียวข้นพันคอมากขึ้น เป็นผลทำให้เกิดอาการสำลักเสมหะหรือหายใจได้ลำบากมากขึ้น และในผู้สูงอายุและผู้ป่วยในบางกลุ่มต้องระวังการใช้ยาจำพวกนี้มากขึ้น เช่น ผู้ป่วยโรค(หอบ)หืด ผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง ผู้ป่วยมีปัญหาหลอดลมอุดกั้น...

ใครที่มีความเสี่ยงข้างต้น แนะนำให้ปรึกษาเภสัชกร หรือ แพทย์ก่อนใช้ยาแก้แพ้/ยาลดน้ำมูกนะ

คุณเภสัช/คุณหมอ จะถามทำไมคะว่าดิฉันท้องหรือไม่ท้อง...!!!???

คุณผู้หญิงหลายๆ คนอาจจะงง(ปนเคือง) เวลาไปร้านยาหรือไปหาหมอ พอซักอาการเสร็จสรรพแล้วอาจจะเจอคำถามหรือคำเตือนเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ เช่น
- คุณตั้งท้องอยู่ไหม?
- วางแผนที่จะมีบุตรหรือเปล่า?
- มีอะไรกับแฟนครั้งล่าสุดเมื่อไร? ได้คุมกำเนิดไหม? คุมกำเนิดด้วยวิธีอะไร?
หรืออาจจะเจอคำเตือนบางอย่างหลังจากการรับยา เช่น
- ยาตัวนี้ให้ระมัดระวังเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ด้วยนะเพราะจะทำให้เด็กพิการได้
- เตือนคนที่กินยาตัวนี้ด้วยนะให้ระวังเรื่องตั้งครรภ์เพราะอาจจะทำให้เด็กพิการ

ขออนุญาตไขข้อสงสัยให้สักเล็กน้อย ยาที่อันตรายต่อเด็กในครรภ์ตัวที่ต้องเตือนและเจอกันบ่อยมากคือ ยาบำบัดอาการปวดหัวไมเกรนที่มีชื่อว่า "เออร์โกตามีน (Ergotamine)" ยาตัวนี้มีผลทำให้เด็กในครรภ์พิการ หรือพัฒนาการผิดปกติได้ (อันนี้มีงานวิจัยรองรับชัดเจนนะ)

ส่วนยาอื่นๆ ที่ห้ามใช้ในคนท้องหรือต้องระวังการใช้มากๆ เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin), ยาลดไขมันในกลุ่มที่ลงท้ายชื่อว่าสเตติน (Statin), ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเตตร้าไซคลิน (Tetracycline) ฯลฯ

นี่เป็นเหตุผลสำคัญอันหนึ่งว่าทำไมก่อนใช้ยาใดๆ ควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ก่อนนะ