พูดเรื่องยาแผนปัจจุบันกับอาหารเสริมมาก็มากแล้ว คราวนี้จะมาเล่าเรื่องสมุนไพรและยาแผนไทยสั้นๆ ง่ายๆ บ้างดีกว่า...
วันนี้ขอพูดถึงสมุนไพรและยาแผนไทยสำหรับบรรเทาอาการท้องอืด
สมุนไพรไทยที่ช่วยบรรเทาอาการท้องอืดแน่นท้อง เช่น กะเพรา โหระพา พริกไทย ขิง ข่า ขมิ้น เป็นต้น หากกลัวท้องอืดจากมื้อ อาหารลองทดลองดัดแปลงใส่สมุนไพรเหล่านี้เข้าไปในอาหารได้นะ แต่คนยุคนี้อาจจะสบายหน่อยเพราะในปัจจุบันมีสมุนไพรบดบรรจุแคปซูลจำหน่ายกันแล้ว เช่น ขมิ้นชันบรรจุแคปซูล
ส่วนยาตำรับไทยที่แก้ท้องอืด เช่น ยาประสะกะเพรา ที่ปัจจุบันมีจำหน่ายทั้งในแบบลูกกลอน หรือแคปซูล แต่อาจจะหาซื้อยากอยู่สักหน่อยนะ
อย่างไรก็ดีสมุนไพร ยาตำรับ ยาแผนปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งอาหารเสริมอาจจะตีกันได้หากใช้ร่วมกัน ดังนั้นแนะนำให้ปรึกษาเภสัชกรใกล้บ้าน หรือแพทย์ก่อนการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพทุกครั้งนะครับ
Friday, December 19, 2014
Monday, December 15, 2014
มารู้จักไข้เลือดออกกันเถอะ!!! ตอนที่3: อันตรายแต่ป้องกันได้
อย่างที่เล่าให้ฟังไปแล้วในตอนที่2 โรคไข้เลือดออกยังไม่มียาที่ฆ่าเชื้อไวรัสเดงกี่ได้ ดังนั้นการป้องกันไม่ให้เป็นโรคไข้เลือดออกจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด...
"ยุงลาย" เป็นพาหะสำคัญในการนำไวรัสเดงกี่มาสู่คนดังนั้น สิ่งสำคัญคือเราต้องกำจัดยุงลาย และระวังไม่ให้ยุงลายมากัด ทำได้ง่ายๆ ดังนี้...
1. ปิดภาชนะบรรจุน้ำในบ้านให้สนิท เช่น ปิดฝาโอ่ง ปิดฝาถังน้ำ
2. วางคว่ำภาชนะบรรจุน้ำที่ไม่ได้ใช้
3. กำจัดแหล่งน้ำขังในบริเวณบ้าน เช่น กวาดหรือเช็ดน้ำขังตามจุดต่างๆ ในบ้าน
4. เปลี่ยนน้ำในแจกันดอกไม้ทุกๆ 5-7 วันอย่างสม่ำเสมอ
5. ใส่เกลือลงในจานรองตู้กับข้าว โดยใช้เกลือ 2 ช้อนชา ต่อน้ำ 250 มล.
6. ปล่อยปลาที่กินลูกน้ำลงในอ่างบัวหรือตู้ปลา
7. ฉีดพ่นสารเคมีกำจัดยุง โดยเลือกฉีดพ่นในช่วงเวลาที่มีคนอยู่น้อยหรือไม่มีคนอยู่ และต้องมีการระบายอากาศหลังการฉีดพ่น
8. การนอนในมุ้ง
9. หากจำเป็นอาจใช้ครีมทากันยุงที่ปลอดภัยทาผิว มีข้อควรระวังคือหลีกเลี่ยงการทาในบริเวณที่บอบบาง เช่น บริเวณดวงตา
ข้อปฏิบัติตัวง่าย 9 ข้อที่พวกเราทำได้ทุกวัน ป้องกันโรคไข้เลือดออก ไม่ต้องเสี่ยงตาย... ขอให้ทุกคนปลอดภัย ปลอดโรคนะครับ
"ยุงลาย" เป็นพาหะสำคัญในการนำไวรัสเดงกี่มาสู่คนดังนั้น สิ่งสำคัญคือเราต้องกำจัดยุงลาย และระวังไม่ให้ยุงลายมากัด ทำได้ง่ายๆ ดังนี้...
1. ปิดภาชนะบรรจุน้ำในบ้านให้สนิท เช่น ปิดฝาโอ่ง ปิดฝาถังน้ำ
2. วางคว่ำภาชนะบรรจุน้ำที่ไม่ได้ใช้
3. กำจัดแหล่งน้ำขังในบริเวณบ้าน เช่น กวาดหรือเช็ดน้ำขังตามจุดต่างๆ ในบ้าน
4. เปลี่ยนน้ำในแจกันดอกไม้ทุกๆ 5-7 วันอย่างสม่ำเสมอ
5. ใส่เกลือลงในจานรองตู้กับข้าว โดยใช้เกลือ 2 ช้อนชา ต่อน้ำ 250 มล.
6. ปล่อยปลาที่กินลูกน้ำลงในอ่างบัวหรือตู้ปลา
7. ฉีดพ่นสารเคมีกำจัดยุง โดยเลือกฉีดพ่นในช่วงเวลาที่มีคนอยู่น้อยหรือไม่มีคนอยู่ และต้องมีการระบายอากาศหลังการฉีดพ่น
8. การนอนในมุ้ง
9. หากจำเป็นอาจใช้ครีมทากันยุงที่ปลอดภัยทาผิว มีข้อควรระวังคือหลีกเลี่ยงการทาในบริเวณที่บอบบาง เช่น บริเวณดวงตา
ข้อปฏิบัติตัวง่าย 9 ข้อที่พวกเราทำได้ทุกวัน ป้องกันโรคไข้เลือดออก ไม่ต้องเสี่ยงตาย... ขอให้ทุกคนปลอดภัย ปลอดโรคนะครับ
มารู้จักไข้เลือดออกกันเถอะ!!! ตอนที่2: สัญญาณอันตราย รีบไปพบคุณหมอ ด่วน!!!
อาการในเบื้องต้นของไข้เลือดออกนั้นใกล้เคียงกับไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่มากอาจทำให้แยกออกได้ยาก ดังนั้นหากมี 1 ในอาการต่อไปนี้เป็นสัญญาณว่าควรรีบไปพบแพทย์ด่วนที่สุด
1. มีไข้สูงเกินกว่า 39 องศาเซลเซียส
2. ไข้ไม่ลดลงเมื่อทานยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล
3. มีจุดเลือดออกไม่ทราบสาเหตุ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน จุดเลือดออกตามผิวหนัง จุดเลือดออกบริเวณตาขาว เป็นต้น
4. มีปัสสาวะลดลง
5. อาการซึม เหงื่อออก มือเท้าเย็น
6. ชีพจรเต้นแผ่วแต่เร็ว
7. ปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา
8. อาการช็อค
ในปัจจุบันไข้เลือดออกยังไม่มียาที่ใช้บำบัดโรคได้โดยตรง การรักษายังคงเป็นไปตามอาการ และมีความจำเป็นที่ต้องได้รับการรักษาอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ และการละเลยไม่ไปพบแพทย์เป็นความเสี่ยงที่จะทำให้เสียชีวิตจากไข้เลือดออกได้...
ยำอีกครั้งถ้าท่านมีอาการเพียงข้อใดข้อหนึ่งที่กล่าวไปแล้ว หรือสงสัยว่าตัวท่านเองเป็นไข้เลือดออกให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด...
To be continue (โปรดติดตามตอนต่อไป)
1. มีไข้สูงเกินกว่า 39 องศาเซลเซียส
2. ไข้ไม่ลดลงเมื่อทานยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล
3. มีจุดเลือดออกไม่ทราบสาเหตุ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน จุดเลือดออกตามผิวหนัง จุดเลือดออกบริเวณตาขาว เป็นต้น
4. มีปัสสาวะลดลง
5. อาการซึม เหงื่อออก มือเท้าเย็น
6. ชีพจรเต้นแผ่วแต่เร็ว
7. ปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา
8. อาการช็อค
ในปัจจุบันไข้เลือดออกยังไม่มียาที่ใช้บำบัดโรคได้โดยตรง การรักษายังคงเป็นไปตามอาการ และมีความจำเป็นที่ต้องได้รับการรักษาอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ และการละเลยไม่ไปพบแพทย์เป็นความเสี่ยงที่จะทำให้เสียชีวิตจากไข้เลือดออกได้...
ยำอีกครั้งถ้าท่านมีอาการเพียงข้อใดข้อหนึ่งที่กล่าวไปแล้ว หรือสงสัยว่าตัวท่านเองเป็นไข้เลือดออกให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด...
To be continue (โปรดติดตามตอนต่อไป)
มารู้จักไข้เลือดออกกันเถอะ!!! ตอนที่1: ไข้เลือดออกเกิดจากอะไร?
โรคไข้เลือดออก อีกชื่อเรียกหนึ่งคือ ไข้เดงกี่ โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า ไวรัสเดงกี่ (Dengue virus)
เชื้อไวรัสเดงกี่ในประเทศไทยนั้นพบหลักๆ อยู่ 4 ชนิด หากคุณติดเชื้อไวรัสเดงกี่ชนิดใดแล้วร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานโรคมาต่อสู้กับโรคนั้นได้สำเร็จ คุณจะได้รับภูมิต้านทานไวรัสชนิดนั้นไปตลอดชนิด (ภูมิคุ้มกันฉลาดเนอะ :P) และคุณจะได้ของแถมเล็กๆ น้อยๆ มาด้วยนั่นก็คือ คุณจะมีภูมิคุ้นกันต่อเชื้อไวรัสเดงกี่ชนิดอื่นด้วยเป็นช่วงเวลาหนึ่ง (ประมาณ 6-12 เดือน) เมื่อพ้นช่วงโปรโมชั่นนี้ไปท่านก็จะมีโอกาสติดเชื้อไวรัสเดงกี่ชนิดอื่นๆ ได้อีกดังนั้นต้องระวังป้องกันให้ดี เนอะ...
To be continue (โปรดติดตามตอนต่อไป อิอิ)
เชื้อไวรัสเดงกี่ในประเทศไทยนั้นพบหลักๆ อยู่ 4 ชนิด หากคุณติดเชื้อไวรัสเดงกี่ชนิดใดแล้วร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานโรคมาต่อสู้กับโรคนั้นได้สำเร็จ คุณจะได้รับภูมิต้านทานไวรัสชนิดนั้นไปตลอดชนิด (ภูมิคุ้มกันฉลาดเนอะ :P) และคุณจะได้ของแถมเล็กๆ น้อยๆ มาด้วยนั่นก็คือ คุณจะมีภูมิคุ้นกันต่อเชื้อไวรัสเดงกี่ชนิดอื่นด้วยเป็นช่วงเวลาหนึ่ง (ประมาณ 6-12 เดือน) เมื่อพ้นช่วงโปรโมชั่นนี้ไปท่านก็จะมีโอกาสติดเชื้อไวรัสเดงกี่ชนิดอื่นๆ ได้อีกดังนั้นต้องระวังป้องกันให้ดี เนอะ...
To be continue (โปรดติดตามตอนต่อไป อิอิ)
เทคนิคการเช็ดตัวลดไข้อย่างง่าย
ช่วงปลายฝนต้นหนาวจะเป็นช่วงที่อากาศค่อนข้างเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้คนป่วยเป็นโรคไข้หวัดกันเยอะ วันนี้มีเทคนิคการลดไข้ด้วยการเช็ดตัวแบบง่ายๆ มาฝาก...
1. เพื่อไม่ให้มีอาการหนาวสั่นในช่วงที่เช็ดตัว ให้ใช้น้ำที่อุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิร่างกายและไม่เย็นจัดเกินไป แนะนำที่ 25-30 องศาเซลเซียส ถ้าจะจำง่ายๆ คือ เปิดน้ำประปาแล้วใช้ได้เลย...
2. เน้นเช็ดตัวที่จุดชีพจรสำคัญ เช่น รักแร้ ขาหนีบ หรือข้อพับต่างๆ
3. หลังจากเช็ดตัวเรียบร้อยให้หาผ้าแห้งที่สะอาดมาเช็ดตัวให้แห้ง แล้วแต่งกายให้อบอุ่น
4. อาจใช้ผ้าชุบน้ำอุณหภูมิห้องประคบที่บริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรือข้อพับ เพื่อช่วยระบายความร้อน และหมั่นเปลี่ยนผ้าชุบน้ำเพื่อให้การระบายความร้อนเกิดขึ้นได้ดี
1. เพื่อไม่ให้มีอาการหนาวสั่นในช่วงที่เช็ดตัว ให้ใช้น้ำที่อุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิร่างกายและไม่เย็นจัดเกินไป แนะนำที่ 25-30 องศาเซลเซียส ถ้าจะจำง่ายๆ คือ เปิดน้ำประปาแล้วใช้ได้เลย...
2. เน้นเช็ดตัวที่จุดชีพจรสำคัญ เช่น รักแร้ ขาหนีบ หรือข้อพับต่างๆ
3. หลังจากเช็ดตัวเรียบร้อยให้หาผ้าแห้งที่สะอาดมาเช็ดตัวให้แห้ง แล้วแต่งกายให้อบอุ่น
4. อาจใช้ผ้าชุบน้ำอุณหภูมิห้องประคบที่บริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรือข้อพับ เพื่อช่วยระบายความร้อน และหมั่นเปลี่ยนผ้าชุบน้ำเพื่อให้การระบายความร้อนเกิดขึ้นได้ดี
ข้อควรระวังสำหรับการใช้ ยาแก้แพ้/ยาลดน้ำมูก ในผู้ที่มีเสมหะเหนียวข้น...
หลายๆ ท่านที่มีเสมหะเหนียวข้นพันคออาจต้องระวังการใช้ ยาแก้แพ้/ยาลดน้ำมูก บางชนิดกันสักหน่อย เพราะยาแก้แพ้/ยาลดน้ำมูกบางตัวอาจจะไปทำให้เสมหะยิ่งเหนียวข้นพันคอมากขึ้น เป็นผลทำให้เกิดอาการสำลักเสมหะหรือหายใจได้ลำบากมากขึ้น และในผู้สูงอายุและผู้ป่วยในบางกลุ่มต้องระวังการใช้ยาจำพวกนี้มากขึ้น เช่น ผู้ป่วยโรค(หอบ)หืด ผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง ผู้ป่วยมีปัญหาหลอดลมอุดกั้น...
ใครที่มีความเสี่ยงข้างต้น แนะนำให้ปรึกษาเภสัชกร หรือ แพทย์ก่อนใช้ยาแก้แพ้/ยาลดน้ำมูกนะ
ใครที่มีความเสี่ยงข้างต้น แนะนำให้ปรึกษาเภสัชกร หรือ แพทย์ก่อนใช้ยาแก้แพ้/ยาลดน้ำมูกนะ
Labels:
ความเสี่ยง,
ถุงลมโป่งพอง,
ยาแก้แพ้,
ยาลดน้ำมูก,
ระวัง,
โรค,
เสมหะ,
หอบ,
หืด
คุณเภสัช/คุณหมอ จะถามทำไมคะว่าดิฉันท้องหรือไม่ท้อง...!!!???
คุณผู้หญิงหลายๆ คนอาจจะงง(ปนเคือง) เวลาไปร้านยาหรือไปหาหมอ พอซักอาการเสร็จสรรพแล้วอาจจะเจอคำถามหรือคำเตือนเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ เช่น
- คุณตั้งท้องอยู่ไหม?
- วางแผนที่จะมีบุตรหรือเปล่า?
- มีอะไรกับแฟนครั้งล่าสุดเมื่อไร? ได้คุมกำเนิดไหม? คุมกำเนิดด้วยวิธีอะไร?
หรืออาจจะเจอคำเตือนบางอย่างหลังจากการรับยา เช่น
- ยาตัวนี้ให้ระมัดระวังเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ด้วยนะเพราะจะทำให้เด็กพิการได้
- เตือนคนที่กินยาตัวนี้ด้วยนะให้ระวังเรื่องตั้งครรภ์เพราะอาจจะทำให้เด็กพิการ
ขออนุญาตไขข้อสงสัยให้สักเล็กน้อย ยาที่อันตรายต่อเด็กในครรภ์ตัวที่ต้องเตือนและเจอกันบ่อยมากคือ ยาบำบัดอาการปวดหัวไมเกรนที่มีชื่อว่า "เออร์โกตามีน (Ergotamine)" ยาตัวนี้มีผลทำให้เด็กในครรภ์พิการ หรือพัฒนาการผิดปกติได้ (อันนี้มีงานวิจัยรองรับชัดเจนนะ)
ส่วนยาอื่นๆ ที่ห้ามใช้ในคนท้องหรือต้องระวังการใช้มากๆ เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin), ยาลดไขมันในกลุ่มที่ลงท้ายชื่อว่าสเตติน (Statin), ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเตตร้าไซคลิน (Tetracycline) ฯลฯ
นี่เป็นเหตุผลสำคัญอันหนึ่งว่าทำไมก่อนใช้ยาใดๆ ควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ก่อนนะ
- คุณตั้งท้องอยู่ไหม?
- วางแผนที่จะมีบุตรหรือเปล่า?
- มีอะไรกับแฟนครั้งล่าสุดเมื่อไร? ได้คุมกำเนิดไหม? คุมกำเนิดด้วยวิธีอะไร?
หรืออาจจะเจอคำเตือนบางอย่างหลังจากการรับยา เช่น
- ยาตัวนี้ให้ระมัดระวังเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ด้วยนะเพราะจะทำให้เด็กพิการได้
- เตือนคนที่กินยาตัวนี้ด้วยนะให้ระวังเรื่องตั้งครรภ์เพราะอาจจะทำให้เด็กพิการ
ขออนุญาตไขข้อสงสัยให้สักเล็กน้อย ยาที่อันตรายต่อเด็กในครรภ์ตัวที่ต้องเตือนและเจอกันบ่อยมากคือ ยาบำบัดอาการปวดหัวไมเกรนที่มีชื่อว่า "เออร์โกตามีน (Ergotamine)" ยาตัวนี้มีผลทำให้เด็กในครรภ์พิการ หรือพัฒนาการผิดปกติได้ (อันนี้มีงานวิจัยรองรับชัดเจนนะ)
ส่วนยาอื่นๆ ที่ห้ามใช้ในคนท้องหรือต้องระวังการใช้มากๆ เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin), ยาลดไขมันในกลุ่มที่ลงท้ายชื่อว่าสเตติน (Statin), ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเตตร้าไซคลิน (Tetracycline) ฯลฯ
นี่เป็นเหตุผลสำคัญอันหนึ่งว่าทำไมก่อนใช้ยาใดๆ ควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ก่อนนะ
Monday, August 11, 2014
เราจะเตรียมเครื่องดื่มน้ำตาลและเกลือแร่สำหรับอาการท้องเสีย (โออาร์เอส, ORS) เองได้อย่างไร ?
คุณถาม
เราจะเตรียมเครื่องดื่มน้ำตาลและเกลือแร่สำหรับอาการท้องเสีย (โออาร์เอส, ORS) เองได้อย่างไร ?
เราตอบ
ถ้าหากคุณไม่สามารถหาซื้อผงชงโออาร์เอส (ORS) เราสามารถเตรียมเครื่องดื่มโออาร์เอส (ORS) เองได้ง่ายๆ โดยการเตรียมสิ่งต่อไปนี้
ส่วนผสม
1. น้ำต้มเดือดที่ตั้งไว้ให้เย็นแล้ว 750 มล. หรือประมาณ 1 ขวดน้ำปลาขวดกลม
2. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
3. เกลือแกงหรือเกลือปรุงอาหาร ครึ่ง ช้อนชา
วิธีผสม
1. ผสมน้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ และ เกลือแกง ครึ่ง ช้อนชาลงในน้ำต้มเดือดที่เย็นแล้ว 750 มล. ให้ละลายเข้ากัน
2. เก็บเครื่องดื่มที่เตรียมได้ในภาชนะที่ปิดสนิท
วิธีการดื่มเครื่องดื่มโออาร์เอส (ORS)
ให้ค่อยๆ จิบทีละน้อยๆ และจิบบ่อยๆ เพื่อชดเชยน้ำ น้ำตาล และเกลือแร่ที่สุญเสียไปจากอาการท้องเสีย
ข้อควรระวัง
ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มโออาร์เอส (ORS) ทีละเยอะๆ รวดเดียวเพราะร่างกายจะดูดซึมเข้าไปใช้ไม่ทัน ทำให้มีปริมาณน้ำและเกลือแร่เหลืออยู่ในทางเดินอาหารเยอะ มีผลให้ไปกระตุ้นการบีบตัวของสำไส้ทำให้เกิดการขับถ่ายอุจจาระที่มากขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีกับผู้ที่เป็นท้องเสีย
การเก็บรักษา
1. ควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องหรือในบริเวณที่หลีกเลี่ยงจากความร้อนและแสงแดด
2. เครื่องดื่มโออาร์เอส (ORS) ที่เตรียมขึ้นควรใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมงหรือ 1 วัน หากเกินจากนั้นให้เททิ้ง แล้วเตรียมใหม่ดีกว่า
บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพ ไม่แนะนำให้นำไปใช้วินิจฉัยหรือรักษาโรคด้วยตนเอง ขอความกรุณาปรึกษาแพทย์ เภสัชกร หรือบุคลากรทางสาธารณสุขเพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง
บทความนี้สงวนลิขสิทธิ์ สิงหาคม 2557 หากจะเผยแพร่โปรดอ้างอิงมายังหน้านี้
http://witzeternia.blogspot.com/2014/08/ors_11.html
เราจะเตรียมเครื่องดื่มน้ำตาลและเกลือแร่สำหรับอาการท้องเสีย (โออาร์เอส, ORS) เองได้อย่างไร ?
เราตอบ
ถ้าหากคุณไม่สามารถหาซื้อผงชงโออาร์เอส (ORS) เราสามารถเตรียมเครื่องดื่มโออาร์เอส (ORS) เองได้ง่ายๆ โดยการเตรียมสิ่งต่อไปนี้
ส่วนผสม
1. น้ำต้มเดือดที่ตั้งไว้ให้เย็นแล้ว 750 มล. หรือประมาณ 1 ขวดน้ำปลาขวดกลม
2. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
3. เกลือแกงหรือเกลือปรุงอาหาร ครึ่ง ช้อนชา
วิธีผสม
1. ผสมน้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ และ เกลือแกง ครึ่ง ช้อนชาลงในน้ำต้มเดือดที่เย็นแล้ว 750 มล. ให้ละลายเข้ากัน
2. เก็บเครื่องดื่มที่เตรียมได้ในภาชนะที่ปิดสนิท
วิธีการดื่มเครื่องดื่มโออาร์เอส (ORS)
ให้ค่อยๆ จิบทีละน้อยๆ และจิบบ่อยๆ เพื่อชดเชยน้ำ น้ำตาล และเกลือแร่ที่สุญเสียไปจากอาการท้องเสีย
ข้อควรระวัง
ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มโออาร์เอส (ORS) ทีละเยอะๆ รวดเดียวเพราะร่างกายจะดูดซึมเข้าไปใช้ไม่ทัน ทำให้มีปริมาณน้ำและเกลือแร่เหลืออยู่ในทางเดินอาหารเยอะ มีผลให้ไปกระตุ้นการบีบตัวของสำไส้ทำให้เกิดการขับถ่ายอุจจาระที่มากขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีกับผู้ที่เป็นท้องเสีย
การเก็บรักษา
1. ควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องหรือในบริเวณที่หลีกเลี่ยงจากความร้อนและแสงแดด
2. เครื่องดื่มโออาร์เอส (ORS) ที่เตรียมขึ้นควรใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมงหรือ 1 วัน หากเกินจากนั้นให้เททิ้ง แล้วเตรียมใหม่ดีกว่า
บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพ ไม่แนะนำให้นำไปใช้วินิจฉัยหรือรักษาโรคด้วยตนเอง ขอความกรุณาปรึกษาแพทย์ เภสัชกร หรือบุคลากรทางสาธารณสุขเพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง
บทความนี้สงวนลิขสิทธิ์ สิงหาคม 2557 หากจะเผยแพร่โปรดอ้างอิงมายังหน้านี้
http://witzeternia.blogspot.com/2014/08/ors_11.html
Sunday, August 10, 2014
ทำไมท้องเสียแล้วต้องกินโออาร์เอส (ORS) กินเครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับคนออกกำลังกายไม่ได้เหรอ?
คุณถาม
ทำไมท้องเสียแล้วต้องกินโออาร์เ อส (ORS) กินเครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับคน ออกกำลังกายไม่ได้เหรอ?
เราตอบ
1. เนื่องจากการสูญเสียน้ำตาลและเก ลือแร่ในผู้ที่เป็นท้องเสีย และผู้ออกกำลังกายนั้นไม่เหมือน กัน การดื่มเครื่องดื่มโออาร์เอสจะช ดเชยสมดุลน้ำตาลและเกลือแร่สำหร ับผู้ที่เป็นท้องเสียได้ดีกว่า
2. เครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับคนออก กำลังกายโดยส่วนใหญ่จะมีปริมาณน ้ำตาลและเกลือแร่บางชนิดสูงกว่า ในโออาร์เอส (ORS) หากดื่มเข้าไปน้ำตาลและเกลือแร่ส่วนเกิน จะไปดึงน้ำต่างให้เข้ามาในทางเด ินอาหาร มีผลให้เกิดการกระตุ้นการบีบตัว ของลำไส้ส่งผลให้ถ่ายอุจจาระรุน แรงหรือมากขึ้นได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อผู้ที่เป็นท้ องเสีย
ปล. ดื่มโออาร์เอส (ORS) จิบทีละนิด ไม่ต้องเยอะ แต่จิบบ่อยๆ นะ..
ปล2. มีปัญหาสุขภาพปรึกษาแพทย์ และเภสัชกรใกล้บ้านท่านได้นะครั บ แต่ถ้ามีปัญหาความรัก เชิญปรึกษาศิราณี
ปล3. มีปัญหาเรื่องเงินโปรดปรึกษาฝ่า ยสินเชื่อธนาคารนะฮ๊าฟ....
บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพ ไม่แนะนำให้นำไปใช้วินิจฉัยหรือรักษาโรคด้วยตนเอง ขอความกรุณาปรึกษาแพทย์ เภสัชกร หรือบุคลากรทางสาธารณสุขเพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง
บทความนี้สงวนลิขสิทธิ์ สิงหาคม 2557 หากจะเผยแพร่โปรดอ้างอิงมายังหน้านี้
http://witzeternia.blogspot.com/2014/08/ors.html
ทำไมท้องเสียแล้วต้องกินโออาร์เ
เราตอบ
1. เนื่องจากการสูญเสียน้ำตาลและเก
2. เครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับคนออก
ปล. ดื่มโออาร์เอส (ORS) จิบทีละนิด ไม่ต้องเยอะ แต่จิบบ่อยๆ นะ..
ปล2. มีปัญหาสุขภาพปรึกษาแพทย์ และเภสัชกรใกล้บ้านท่านได้นะครั
ปล3. มีปัญหาเรื่องเงินโปรดปรึกษาฝ่า
บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพ ไม่แนะนำให้นำไปใช้วินิจฉัยหรือรักษาโรคด้วยตนเอง ขอความกรุณาปรึกษาแพทย์ เภสัชกร หรือบุคลากรทางสาธารณสุขเพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง
บทความนี้สงวนลิขสิทธิ์ สิงหาคม 2557 หากจะเผยแพร่โปรดอ้างอิงมายังหน้านี้
http://witzeternia.blogspot.com/2014/08/ors.html
Friday, August 8, 2014
ทำไมคุณเภสัชกรไม่จ่ายยาหยุดถ่าย? เป็นคำถามที่ถูกถามวันนี้...
ท้องเสียหรือท้องร่วงนั้นเกิดได้หลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลักๆ ที่พบบ่อย คือ การได้รับสารพิษหรือเชื้อโรคเข้าไปในทางเดินอาหาร ซึ่งเจ้าสารพิษหรือเชื้อโรคนี้ไปก่ออันตรายให้กับร่างกาย ร่างกายจึงพยายามจะกำจัดสิ่งแปลกปลอมแสนอันตรายออกนอกร่างกาย ทำให้เกิดอาการถ่ายอุจจาระหลายครั้ง
ดังนั้นหากเราไปกินยาหยุดถ่ายอาจทำให้เกิดการสะสมของสารพิษหรือเชื้อโรคในร่างกายได้ เป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายถึงชีวิต ขอแนะนำว่าหากจะใช้ยาหยุดถ่ายควรอยู่ในการดูแลของแพทย์และเภสัชกรอย่างใกล้ชิด....
สำหรับการปฏิบัติตัวเบื้องต้นเมื่อมีอาการท้องเสีย คือ การดื่มเครื่องดื่มผสมน้ำตาลและเกลือแร่สำหรับอาการท้องเสีย ที่นิยมเรียกกันว่า โออาร์เอส (ORS) ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านยาทั่วไป
เรื่องเครื่องดื่มเกลือแร่นี้สำคัญมาก เพราะสาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่ของผู้ป่วยท้องเสีย คือการขาดเกลือแร่และน้ำนั่นเอง แนะนำให้จิบเครื่องดื่มน้ำตาลและเกลือแร่บ่อยๆ ครั้งละน้อยๆ เพื่อชดเชยน้ำ น้ำตาลและเกลือแร่ที่เสียไปจากการขับถ่ายและอาเจียน
ประเด็นสำคัญอีกเรื่องก็คือ อย่าไปซื้อผิดเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับผู้เสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้อาการท้องเสียแย่ลงได้...
หากมีอาการท้องเสียรุนแรงหรือมีไข้ร่วมด้วยให้รีบไปพบแพทย์นะครับ
ท่านสามารถขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้จากเภสัชกรตัวจริงใกล้บ้านท่านได้นะครับ
บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพ ไม่แนะนำให้นำไปใช้วินิจฉัยหรือรักษาโรคด้วยตนเอง ขอความกรุณาปรึกษาแพทย์ เภสัชกร หรือบุคลากรทางสาธารณสุขเพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง
บทความนี้สงวนลิขสิทธิ์ สิงหาคม 2557 หากจะเผยแพร่โปรดอ้างอิงมายังหน้านี้
http://witzeternia.blogspot.com/2014/08/blog-post.html
ดังนั้นหากเราไปกินยาหยุดถ่ายอาจทำให้เกิดการสะสมของสารพิษหรือเชื้อโรคในร่างกายได้ เป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายถึงชีวิต ขอแนะนำว่าหากจะใช้ยาหยุดถ่ายควรอยู่ในการดูแลของแพทย์และเภสัชกรอย่างใกล้ชิด....
สำหรับการปฏิบัติตัวเบื้องต้นเมื่อมีอาการท้องเสีย คือ การดื่มเครื่องดื่มผสมน้ำตาลและเกลือแร่สำหรับอาการท้องเสีย ที่นิยมเรียกกันว่า โออาร์เอส (ORS) ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านยาทั่วไป
เรื่องเครื่องดื่มเกลือแร่นี้สำคัญมาก เพราะสาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่ของผู้ป่วยท้องเสีย คือการขาดเกลือแร่และน้ำนั่นเอง แนะนำให้จิบเครื่องดื่มน้ำตาลและเกลือแร่บ่อยๆ ครั้งละน้อยๆ เพื่อชดเชยน้ำ น้ำตาลและเกลือแร่ที่เสียไปจากการขับถ่ายและอาเจียน
ประเด็นสำคัญอีกเรื่องก็คือ อย่าไปซื้อผิดเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับผู้เสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้อาการท้องเสียแย่ลงได้...
หากมีอาการท้องเสียรุนแรงหรือมีไข้ร่วมด้วยให้รีบไปพบแพทย์นะครับ
ท่านสามารถขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้จากเภสัชกรตัวจริงใกล้บ้านท่านได้นะครับ
บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพ ไม่แนะนำให้นำไปใช้วินิจฉัยหรือรักษาโรคด้วยตนเอง ขอความกรุณาปรึกษาแพทย์ เภสัชกร หรือบุคลากรทางสาธารณสุขเพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง
บทความนี้สงวนลิขสิทธิ์ สิงหาคม 2557 หากจะเผยแพร่โปรดอ้างอิงมายังหน้านี้
http://witzeternia.blogspot.com/2014/08/blog-post.html
Subscribe to:
Comments (Atom)